เดี๋ยวก็คัน เดี๋ยวก็มีรอยแดง เดี๋ยวก็มีผื่น โดยเฉพาะหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ๆ ก็เป็นไปได้ว่าผิวคุณแพ้ง่าย แต่ชีวิต “สาวขี้แพ้” ก็ไม่จำเป็นต้องหมดสวย แค่คุณต้องรู้ให้ชัดเจนว่าผิวที่แพ้ง่ายเป็นยังไงกันแน่ และข้อสำคัญคุณจะดูแลมันยังไงดี?
ผิวแพ้ง่าย..หรือคิดไปเอง?
ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยมักคิดว่าตัวเองเป็นพวกผิวที่แพ้ง่าย โดยจากการศึกษาเมื่อปี 2009 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Clinical and Experimental Dermatology คนที่ถูกสำรวจมากกว่า 75 เปอร์เซ็นต์บอกว่าตัวเองมีผิวหน้าที่แพ้ง่าย และการติดตามผลหลังจากนั้นอีกหนึ่งปี ก็พบด้วยว่าเกือบ 3 ใน 4 ของผู้เข้าร่วมงานวิจัยต่างเชื่อว่า ผิวตัวเองแพ้ง่ายมากขึ้นไปอีกเมื่อเวลาผ่านไป
คุณอาจคิดว่า ในเมื่อมีคนที่ผิวระคายเคืองง่ายขนาดนั้นแล้ว เราคงมีพิมพ์เขียวที่ชัดเจนในการรับมือกับมัน เหมือนที่เรารับมือปัญหาอย่างเช่นสิว แต่นี่แหละที่แปลก ในทางการแพทย์แล้ว ไม่มีคำจำกัดความของผิวแพ้ง่ายนะ เพราะในทางการแพทย์แล้ว นอกจากโรคผิวหนังต่างๆ เช่น ผิวหนังอักเสบ โรคเรื้อนกวาง โรคสะเก็ดเงิน หรืออาการภูมิแพ้ทางผิวหนังแล้ว ก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าผิวที่แพ้ง่ายโดยรวมๆ แต่อย่างใด
แต่ถ้าผิวที่ไม่ได้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไรก็ตาม เกิดคัน แดง หรือเป็นผื่นขึ้นมาล่ะ มันเพราะอะไรกันล่ะ?
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่า นอกเหนือจากโรคผิวหนังต่างๆ ที่ว่ามาแล้วนั้น อาการแพ้ของผิวมักมีสาเหตุมากจากปราการป้องกันผิวที่อ่อนแอลง ซึ่งปราการป้องกันผิวเป็นด่านแรกที่จะป้องกันสิ่งที่รุกรานผิวจากภายนอก เรียกว่าถ้าปราการผิวสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม มันก็จะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นทางเคมีทั้งหลาย
พูดอีกอย่างก็คือ อาการของผิวที่แพ้ง่ายมีแนวโน้มมากกว่าว่า เป็นเพราะความไม่สมดุลในโครงสร้างของปราการป้องกันผิวของเราเอง ทำให้ผิวอดทนได้น้อยลงต่อสิ่งที่ทาลงมาบนผิว เพราะความสมดุลของความชุ่มชื้นและน้ำมันในผิว ที่เป็นสององค์ประกอบสำคัญของปราการผิวที่แข็งแรง ถูกรบกวนหรือถูกทำลาย
และถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว การทาโลชั่นก็น่าเป็นคำตอบของการคืนความสมดุลของความชุ่มชื้นและน้ำมัน เพื่อให้ผิวแข็งแรงขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญก็บอกว่า นั่นเป็นเพียงทางออกชั่วคราวและอยู่แค่กับด้านบนของผิวเท่านั้น ที่มากไปกว่านั้น มันจะทำให้ผิวพึ่งพามอยสเจอไรซอร์เพื่อเป็นการแก้ไข แทนที่จะกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในผิว ซึ่งสมควรจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่า
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า ถ้าเราไม่ได้เป็นโรคผิวหนัง และรู้สึกถึงอาการแพ้ของผิว เราไม่ควรพึ่งพาแต่มอยสเจอไรเซอร์ และวิธีหนึ่งก็คือ เก็บเงินที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ราคาแพงมาใช้ แล้วไปพบแพทย์ ที่จะแยกแยะว่าผิวของคุณเป็นโรคอะไร หรือเกิดภูมิแพ้จากอะไร จากนั้น แพทย์ก็จะสามารถแนะนำการดูแลผิวที่จะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้
ส่วนผสมที่ต้องเลี่ยง ถ้าอยากให้ผิวมีความสุข
แต่ในระหว่างที่ผิวยังไม่แข็งแรงพอจะดูแลตัวเองได้ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่จะไม่กระตุ้นให้ผิวเกิดปฏิกิริยาก็เป็นเรื่องจำเป็น นอกจากนี้การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารระคายเคือง ก็จะทำให้ปราการผิวไม่ถูกทำลายจนอ่อนแอลงตั้งแต่แรก และก็ไม่นำไปสู่อาการระคายเคืองและแพ้ง่าย เพราะฉะนั้นไม่ว่าผิวคุณจะเสียสมดุลจนเกิดอาการแพ้ง่ายไปแล้ว หรือยังไม่มีอาการใดๆ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารที่ระคายเคือง ก็เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะไม่ทำให้ผิวของคุณมีความโน้มเอียงไปสู่การเป็นผิวที่แพ้ง่ายในตอนหลัง
เพื่อคาดเดาว่าอะไรที่น่าจะไม่ทำให้ผิวโกรธเกรี้ยว ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำถึงส่วนผสมบางอย่าง ที่มีโอกาสมากที่จะทำให้ผิวมีปฏิกิริยาได้ง่าย และคุณควรระมัดระวังในการใช้
1 น้ำหอม
เป็นสิ่งที่ถูกเติมเข้ามาในผลิตภัณฑ์มักทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่ายที่สุด ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่เป็นน้ำหอมน้อยที่สุดหรือไม่มีเลยถือว่าดีที่สุด
2 สารกันเสีย
เป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายอีกอย่างหนึ่ง สารเคมีอย่างหนึ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นพิเศษก็คือ methylisothiazolinone ซึ่งมีอัตราการก่อให้เกิดปฏิกิริยาสูงถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับแบบอื่นที่ปกติอยู่ที่แค่ 1-2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
3 สี
เป็นหนึ่งในสารก่อภูมิแพ้อันดับต้นๆ เพราะฉะนั้นควรมองหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการใส่สีเข้าไป
4 พทาเลต (Phthalates)
เป็นสารเคมีที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง ในการผลิตบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง หรือตัวเครื่องสำอางเอง พทาเลตรู้จักกันดีกว่าก่อให้เกิดไข้ละอองฟาง (hay fever) ที่เป็นอาการภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง โรคหอบหืด รวมถึงการทำให้ผิวระคายเคืองด้วย
5 สารที่ก่อให้เกิดการอุดตันผิว (Comedogens)
สารพวกนี้มักทำให้เกิดสิวในคนที่ใช้ สารกลุ่มนี้ก็อย่างเช่น Acetylated Lanolin Alcohol, Ethylhexyl Palmitate, Sodium Laureth Sulfate, และ Potassium Chloride
6 สารลดแรงตึงผิว (surfactants)
ส่วนผสมในการชำระล้างรุ่นใหม่ๆ อาจไม่มีส่วนผสมอย่าง sodium lauryl sulfate ที่รู้จักกันดีว่าก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย แต่อาจมีสารลดแรงตึงผิว (surfactants) แทน ซึ่งก็เป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน อย่างเช่น Cocamidopropylbetaine, Dimethylaminopropylamine, Oleamidopropyldimethylamine, และ Stearamidopropyl Dimethylamine
7 อะไรก็ตามที่มีชื่อซึ่งคุณไม่รู้จักหรืออ่านไม่ออก
กฎสำคัญสำหรับผิวที่ระคายเคืองได้ง่ายก็คือ น้อยดีกว่ามากเสมอในเรื่องของส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ความงาม มองหาเครื่องสำอางที่มีสูตรส่วนผสมสั้นที่สุด ยิ่งรายการส่วนผสมสั้นเท่าไหร่ ก็มีโอกาสว่ามันจะทำให้ผิวคุณเสียสมดุลน้อยลงเท่านั้น
แล้วอะไรที่คุณควรทำอีกถ้าผิวคุณแพ้ง่าย
ถ้าผิวเสียสมดุลไปแล้ว จนเกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย นอกจากการหลีกเลี่ยงสารก่ออาการระคายเคืองทั้งหมดที่ว่ามาแล้ว คุณก็ยังควรใช้ความระมัดระวัง ในขั้นตอนการดูแลความงามของคุณ เพื่อให้ผิวที่เสียสมดุลไม่เกิดอาการระคายเคืองได้งายๆ และนี่คือบางเรื่องที่คุณควรใส่ใจ
1 ใช้ความระมัดระวัง
เวลาที่ลองผลิตภัณฑ์ใหม่ ขั้นแรก ทาผลิตภัณฑ์ปริมาณเล็กน้อยที่ด้านในแขน รอ 24 ชั่วโมง เพื่อดูว่ามีรอยแดงหรือคันหรือเปล่า ถ้าไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ก็ให้ลองผลิตภัณฑ์ปริมาณเล็กน้อยที่คอ แล้วรอ 24 ชัวโมงเพื่อเช็คดูว่ามีรอยแดงหรืออาการคันหรือไม่ ก่อนที่จะลองใช้ผลิตภัณฑ์นั้นกับผิวหน้า
2 ระวังคำว่า “Hypoallergenic”
คำนี้หมายความว่าผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมที่พบกันบ่อยว่าทำให้เกิดอาการแพ้ เพื่อลดการเกิดปฏิกิริยาแพ้ แต่มันไม่มีข้อกำหนดแน่นอนว่าต้องมีอะไรบ้างเพื่อที่ผลิตภัณฑ์จะถือว่าไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
3 อย่าเยอะ
ผิวเป็นเหมือนโลกขนาดเล็กที่ประกอบไปด้วยกลไกมากมาย ที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความสมดุลให้ผิว และความสมดุลที่แสนบอบบางนี้สามารถเสียไปได้ โดยเจตนาที่ดีของเจ้าของผิวเอง ที่ทาผลิตภัณฑ์บนผิวหน้ามากกว่าสามอย่างในเวลาเดียวกัน การผลิตภัณฑ์มากเกินกว่าสามอย่างพร้อมกัน ทำให้คุณเสี่ยงที่จะเกิดปฏิกิริยาระหว่างผลิตภัณฑ์ด้วยกัน ที่อาจระคายเคืองผิวหนังอย่างมาก และการทาผลิตภัณฑ์เยอะเกินไป ยังเสี่ยงกับการทำให้ผิวหนังหายใจไม่ออกด้วย ผิวไม่อาจดูดซึมผลิตภัณฑ์ได้มากกว่าสามอย่างอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นใจเย็นไว้ อย่าเยอะเกินไปเลยนะ
4 อย่าแกะเกา
เวลาที่มีอาการคัน มีผื่น หรือตุ่มแดง ก็อาจเป็นเรื่องยั่วยวนใจที่เราจะลงมือกับมัน ถึงแม้ผิวของเราจะเป็นอวัยวะที่มีความทนทานและเต็มไปด้วยพลัง แต่มันก็สามารถบาดเจ็บได้ง่ายจากนิ้วมือของคุณ ตัวอย่างเช่น เวลาที่คุณบีบสิว สิ่งที่ออกมาจากสิวจะมีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งที่อยู่ในนั้นเท่านั้น ขณะที่อีก 80 เปอร์เซ็นต์จะถูกผลักลึกลงไปในผิว ทำให้อาการอักเสบยาวนานออกไปอีก และทำให้หายช้าลง เพราะฉะนั้นได้โปรดเถิด อย่าคุ้ยแคะแกะเกาอะไรบนผิวเลยนะ!
5 อย่าคิดว่าธรรมชาติดีไปหมด
ความคิดโดยทั่วไปก็คือ ถ้ามันมาจากธรรมชาติ มันต้องดีต่อผิว ไม่เสมอไปนะ สารสกัดจากพืชพรรณจำนวนมากที่พบในเครื่องสำอาง เป็นสารประกอบโปรตีนที่สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของผิว และส่งผลให้เกิดความระคายเคืองและอาการแพ้ได้ เพราะฉะนั้นคุณยังระมัดระวังเสมอแม้มันจะบอกว่ามาจากธรรมชาติก็ตาม
6 อย่าลืมครีมกันแดด
ไม่ว่าผิวคุณจะแพ้ง่ายหรือไม่ก็ตาม การปกป้องรังสียูวีเป็นสิ่งที่ห้ามขาด อย่างไรก็ตามผิวแพ้ง่ายอาจระคายเคืองได้ง่ายจากกันแดดแบบเคมิคัล ลองเลือกกันแดดแบบฟิลิคัล อย่างเช่น Zinc Oxide หรือ Titanium Dioxide ที่มีโอกาสระคายเคืองน้อยกว่า
แล้วถ้าผิวแพ้ง่ายเป็นสิวล่ะ?
ผลิตภัณฑ์รักษาสิวส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมที่ค่อนข้างรุนแรง ซึ่งมักทำให้ผิวแห้งลง และนี่อาจเป็นปัญหาอย่างมาก ถ้าผิวคุณอยู่ในข้างที่แพ้ง่าย คุณควรหลีกเลี่ยงส่วนผสมอย่างเช่นกรดซาลิไซลิกและเบนซอยล์เพอร์ออกไซด์ ที่สามารถทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองผิวได้ง่าย และลองเลือกส่วนผสมจากธรรมชาติ อย่างเช่นน้ำมันทีทรี หรืออะโลเวร่า ที่ช่วยรักษาสิวและเหมาะแก่ผิวแพ้ง่ายมากกว่า
วิธีการหนึ่งที่ส่งผลดีต่อการรักษาสิวสำหรับผิวที่แพ้ง่ายก็คือ การปรับเรื่องอาหารการกิน ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเรื่องสิว แต่ยังสามารถช่วยเรื่องอาการอักเสบหรือโรคผิวหนังที่มักเกิดกับผิวแพ้ง่าย อย่างเช่นผื่นผิวหนังจากภูมิแพ้หรือโรคสะเก็ดเงินได้ด้วย
Average Rating