ลองใช้วิธีดูแลตัวเองง่ายๆ ต่อไปนี้ในทุกวันของการทำงาน ชีวิตและสุขภาพจะได้ไม่พังก่อนประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน
เราใช้ชีวิตในที่ทำงานมากพอๆ กับอยู่บ้าน (หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ!) เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน จึงส่งผลต่อชีวิตและสุขภาพของเราเป็นอย่างมาก ถ้าอยากให้ชีวิตดี สุขภาพดี คุณต้องดูแลตัวเองทั้งที่บ้านและที่ทำงาน และไม่ต้องเป็นห่วงไปว่า ภาระการงานจะทำให้ไม่มีเวลาได้ดูแลตัวเอง เพราะการดูแลตัวเองนั้นมีวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ ให้คุณสามารถทำตามได้ทุกวันทุกเวลาที่อยู่ในที่ทำงาน
วิธีดูแลตัวเองง่ายๆ ในที่ทำงานที่คุณเริ่มต้นได้เดี๋ยวนี้
1 กินอาหารเช้ามื้อใหญ่
คำพูดที่ว่าคุณควรกินอาหารเช้าอย่างราชา กินอาหารกลางวันแบบพ่อค้า และกินอาหารเย็นอย่างยาจก เป็นเรื่องจริงอย่างมาก การเติมเชื้อเพลิงในร่างกายแต่ต้นวันทำให้แน่ใจได้ว่าคุณจะได้รับพลังงานพอสำหรับกิจกรรมในตอนเช้า ทำให้คุณไม่ต้องการเติมน้ำตาลให้ร่างกายในตอนสายๆ เพิ่มอีก
2 ดื่มกาแฟสักแก้ว
เชื่อหรือไม่ว่าวิทยาศาสตร์เห็นพ้องกันว่า การดื่มกาแฟแบบปานกลางเป็นเรื่องดีสำหรับคุณ ข้อมูลจาก WebMd.com ระบุว่า มีงานวิจัยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากที่ชี้ว่า เมื่อเทียบระหว่างคนที่ดื่มกาแฟกับคนที่ไม่ดื่มเลย คนที่ดื่มกาแฟแบบปานกลางมีแนวโน้มน้อยกว่าที่จะเป็นเบาหวานประเภท 2 โรคพาร์คินสัน และโรคสมองเสื่อม รวมทั้งมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น มะเร็ง ปัญหาการเต้นของหัวใจและสโตรคน้อยกว่า แต่คำเตือนก็คือ น้ำตาลทรายขาวและครีมเทียมทั้งหลายทำให้ผลประโยชน์นี้หายไป
3 กินผลไม้เป็นของว่าง
ที่ทำงานมักเต็มไปด้วยของกินที่เต็มไปด้วยไขมัน แต่คุณจะมีแนวโน้มที่จะกินของไขมันสูงพวกนั้นน้อยลง ถ้าคุณกินของว่างเป็นผลไม้ หรือถั่วสักถุงหนึ่ง
4 ดื่มน้ำให้มากขึ้น
แม้แต่การขาดน้ำเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้พลังงานเหือดแห้งและทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย นี่เป็นข้อมูลจากเมโยคลินิกซึ่งแนะนำด้วยว่า ในแต่ละวันผู้ชายควรดื่มให้ได้ราว 3 ลิตร (ราว 13 ถ้วย) และผู้หญิง 2.2 ลิตร (ราว 9 ถ้วย) โดยน้ำชาและกาแฟก็นับรวมอยู่ในจำนวนนี้ด้วย อาหารหลายอย่างก็เป็นแหล่งที่ดีของน้ำ ผลไม้เช่น ส้ม องุ่น แตงโม และแอปเปิล ซึ่งสามารถช่วยให้คุณสุขภาพดีและไม่ขาดน้ำ
ช่วงเวลาบ่ายสามที่คนทำงานมักจะรู้สึกหมดแรงกันนั้น อาจเกิดจากการขาดน้ำ ฉะนั้น ดื่มน้ำเยอะๆ ด้วยการนำขวดน้ำขนาด 16 ออนซ์มาไว้ที่โต๊ะทำงาน และดื่มให้หมดภายในเวลาอาหารกลางกลางวัน จากนั้น เติมอีก แล้วดื่มให้หมดภายในบ่ายสาม และห้าโมงเย็นอีกหนึ่งขวด
5 หายใจให้ลึกๆ
คนที่อยู่ในความเครียดมักจะหายใจสั้นๆ ถี่ๆ มากกว่าหายใจลึกๆ ยาวๆ และเมื่อเวลาผ่านไป การหายใจสั้นๆ ถี่ๆ เช่นนี้ จะกลายเป็นนิสัย และเป็นการบอกร่างกายตลอดเวลาว่าร่างกายของคุณอยู๋ภายใต้ความเครียด แม้จะไม่มีปัจจัยความเครียดอะไรในขณะนั้นเลยก็ตาม การหายใจลึกๆ ทำให้คุณสงบลง และที่สำคัญไปกว่านั้น มันช่วยให้แน่ใจว่าออกซิเจนจำนวนมากพอเข้าสู่ปอดและกระแสโลหิตของคุณ ซึ่งจะช่วยให้สมองของคุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6 ยืดกล้ามเนื้อเป็นประจำ
ร่างกายของคนเราไม่ได้ออกแบบมาเพื่อที่จะนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ ตรงกันข้าม ร่างกายของมนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อให้วิ่งตามป่าเขาเพื่อไล่ล่าสัตว์ แต่เนื่องจากคุณไม่ได้รับอนุญาตให้วิ่งไปรอบๆ ที่ทำงานได้ ก็ให้ร่างกายได้เบรกเป็นครั้งคราว ยืนขึ้นและยืดเหยียดกล้ามเนื้อทุกครึ่งชั่วโมงหรือประมาณนั้น
7 เคลื่อนไหวเข้าไว้
ในขณะที่นั่งอยู่กับโต๊ะทำงานนานๆ อาจดูเหมือนเป็นวิธีที่ดีในการทำงานให้ได้เยอะๆ แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพเลย คุณควรต้องเบรกทุกหนึ่งหรือสองชั่วโมง ลุกขึ้นและเคลื่อนไหวบ้าง ปัญหาเกี่ยวกับช่วงหลังด้านล่างมักเกินขึ้นอย่างมากจากการนั่งนานๆ ที่ทำให้กล้ามเนื้อจะอ่อนแอลง นอกจากนี้อีเมลหรือเทคโนโลยีต่างๆ ในที่ทำงานก็ทำให้ยิ่งสะดวกมากขึ้นในการสื่อสารกัน แทนการลุกไปหากันแบบเก่าๆ
การเดินไปส่งเอกสารด้วยตัวเอง ถึงแม้จะเสียเวลามากกว่าแต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า ทั้งทำให้ได้เคลื่อนไหว และยังช่วยให้คุณได้พูดคุยกับคนอื่นมากขึ้นด้วย
8 ยืนแทนนั่ง
มันเป็นเรื่องดีที่คุณจะมีเก้าอี้ใหม่ที่เหมาะกับสรีระ แต่ถ้าคุณนั่งบนเก้าอี้ทั้งวัน คุณก็จะลดจำนวนของเอ็นไซม์ที่ทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันที่เรียกว่า lipoprotein lipase ลงไปถึง 94 เปอร์เซ็นต์เลย เพื่อให้เอ็นไซม์ตัวนี้แอคทีฟ และช่วยเผาผลาญไขมัน คุณต้องการเพียงแค่การยืน 30 นาทีต่อวัน ลองยืนอ่านหนังสือ ยืนประชุม หรือคุยกับเพื่อนร่วมงานดู
9 ขึ้นบันได
ในขณะที่การขึ้นบันไดไม่ได้ใช้แคลอรี่มากมายนัก (ราว 300 แคลอรี่ถ้าน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย และขึ้นลงบันได 5 ชั้น อย่างน้อยวันละ 5 ครั้ง) แต่มันช่วยให้หัวใจของคุณทำงานหนักขึ้น จึงทำให้การไหลเวียนโลหิตดี และสุขภาพโดยรวมดีขึ้นด้วย
Quick tip : คุณจะเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่า ถ้าคุณก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นแทนการก้าวข้ามที่ละสองขั้น
10 ไปเดินเล่นหลังอาหารกลางวัน
การเดินหลังอาหารกลางวันทำให้การย่อยของคุณดีขึ้น ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มกิจกรรมทางสมอง นี่เป็นผลจากการศึกษาวิจัยหลายชิ้น มันยังทำให้ร่างกายของคุณได้เบรกจาการนั่งเฉยๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่เป็นธรมชาติที่สุดสำหรับมนุษย์
ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Psychological Science เมื่อปี 2008 ทีมงานที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนได้พบว่า ความจำของคนเราจะดีขึ้นราว 20 เปอร์เซ็นต์ จากการเดินกลางธรรมชาติราว 50 นาที และความทรงจำที่ดีมีผลต่อการทำงานอย่างมาก เพราะฉะนั้นอย่าลืมหาเวลาออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะบ้างในตอนกลางวัน
11 นอนสักงีบ
การนอนไม่พอเป็นเรื่องหายนะอย่างมากต่อสุขภาพของเรา และงานวิจัยจำนวนมากมายที่ชี้ว่า คนเราจะทำงานได้มากกว่าหลังจากได้งีบหลับช่วงสั้นๆ ฉะนั้น งีบหลับสักพักหลังอาหารกลางวันในที่ทำงาน ถ้าเจ้านายของคุณไม่ว่าอะไร หรือไม่ก็ขับรถออกไปหาที่จอดรถเงียบๆ แล้วก็งีบหลับสักพักหนึ่งก่อนกลับมาทำงาน
ดูแลจิตใจให้ดีด้วยนะ!
นอกจากร่างกายแล้ว สภาพจิตใจก็สำคัญอย่างมาก เพราะความเครียดเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งต่อสุขภาพการทำงาน ลองใช้เคล็ดลับต่อไปนี้ในการทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นและเครียดน้อยลงในที่ทำงาน
12 มองโลกในแง่ดีให้มากขึ้น
ถึงแม้หลายคนอาจเห็นว่าการมองโลกตามความเป็นจริง ดีกว่าการมองโลกในแง่ดี แต่ในความเป็นจริงก็คือ มันมีหลักฐานวิทยาศาสตร์มากมายที่ชี้ว่า การมองโลกในแง่ดีทำให้คุณสุขภาพดีกว่า ที่มากไปกวานั้นก็คือ สิ่งที่ตรงข้ามกับการมองโลกแง่ดี ได้แก่การแสดงความโกรธและความหงุดหงิด ยิ่งทำให้คุณเครียดและสุขภาพดีน้อยกว่า ฉะนั้น ยิ้มเอาไว้นะ
13 ท่องอินเตอร์เน็ต
ผู้เชี่ยวชาญในตอนนี้เริ่มสนับสนุนให้นายจ้างเข้มงวดน้อยลง ในเรื่องการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของคนทำงาน โดยจากผลการวิจัยชิ้นล่าสุดที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ค้นพบว่า การท่องเว็บทำให้พนักงานที่เหนื่อยอ่อนรู้สึกสดชื่นขึ้น และเพิ่มผลงานของพวกเขาได้ โดยในการทดลองในกลุ่มนักศึกษา 96 คน ได้แบ่งเป็นกลุ่มที่ให้หยุดพักเฉยๆ และอีกกลุ่มที่ให้เล่นอินเตอร์เน็ต คนที่ได้รับอนุญาตให้เล่นอินเตอร์เน็ต 10 นาทีในช่วงพัก พบว่าทำงานได้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์บอกว่าพวกนี้ยังรายงานว่ามีอาการเหนื่อยอ่อนทางสมองและความเบื่อน้อยลงด้วย ซึ่งนักวิจัย ดร.วิเวียน เค.จี.ลิม ชี้ว่า คนที่ท่องเว็บนั้น ปกติจะเลือกเว็บที่ตัวเองชอบ มันก็เหมือนการไปกินกาแฟหรือเบรกกินของว่างนั่นแหละ
14 สื่อสารกับคนอื่น
เราไม่ได้หมายถึงการเป็นเพื่อนกับใครสักคนบนเฟซบุ๊ค แต่เป็นคนที่มีตัวตนจริงๆ ในที่ทำงาน ใครสักคนที่คุณจะคุยด้วยได้ งานวิจัยชี้ว่าการมีเพื่อนในที่ทำงานช่วยลดความเครียดและทำให้มีความสุขมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีต่อการทำงานแน่นอน
15 ตั้งเป้าหมาย
อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้คุณมีพลังวังชาสำหรับวันทำงาน ก็คือการตั้งเป้าหมายสำหรับตัวเอง การที่คุณสามารถขีดฆ่ารายการที่ทำสำเร็จแล้วออกไปได้ ทำให้เกิดความพึงพอใจ ส่งผลให้คุณมีแรงจูงใจที่จะจัดการกับเป้าหมายต่อๆ ไป
16 เปลี่ยนกิจวัตรเพื่อป้องกันความน่าเบื่อ
เหมือนกับไอเดียของการฝึกซ้อมครอสเทรนนิ่งสำหรับนักกีฬา คนทำงานสามารถทำให้ตัวเองทีพลังขึ้นได้ด้วยการผสมผสานกิจวัตรให้หลากหลาย เช่น ถ้าคุณสามารถทำงานที่ยืดหยุ่นเวลาได้ และเคยทำงาน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ลองเปลี่ยนเป็น 8 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น หรือถ้าคุณเคยเช็คอีเมลเป็นสิ่งแรกของวัน ลองเปลี่ยนมาทำอย่างอื่นแทนในชั่วโมงแรกในที่ทำงาน จัดโต๊ะทำงานใหม่ เปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์แทนการอีเมล เป็นต้น
17 หยุดการผลัดวันประกันพรุ่งสักห้านาที
คุณเคยทิ้งงานโปรเจ็คท์ใหญ่ หรืองานที่กำลังจะถึงเดดไลน์เอาไว้ก่อน แล้วก็จมอยู่กับความวิตกกังวลไปตลอดคืนหรือเปล่า ลองทำแบบนี้นะ บอกตัวเองว่าจะทำงานนั้นสักห้านาที เมื่อคุณเริ่มทำ คุณจะเห็นว่าไม่มีอะไรเลวร้ายเลย และถึงมันจะไม่ดีนัก มันก็จะง่ายกว่าที่คุณจะทำให้สำเร็จ ถ้าคุณใช้เวลากับมันอย่างน้อยก็ห้านาทีต่อวัน
18 ทำอะไรๆ ให้ช้าลงบ้าง
นักวิทยาศาตร์ด้านการออกกำลังรู้ว่า การออกกำลังในระดับที่สบายๆ มีประโยขน์ต่อสุขภาพของคุณมากกว่าการผลักดันตัวเองให้เร็วขึ้นหรือหนักขึ้น คุณสามารถเอาหลักการนี้มาใช้กับกิจวัตรในที่ทำงานได้เช่นกัน ถ้าคุณช้าลงอย่างตั้งใจ ใช้เวลาคิดอย่างถี่ถ้วน ทำงานให้เสร็จทีละอย่างก่อนไปทำอย่างอื่นต่อ บางทีการเพิกเฉยต่อโทรศัพท์หรืออีเมลชั่วคราว คุณจะพบว่าคุณทำงานได้เนื้อได้หนังมากขึ้นและมีความสุขมากขึ้นด้วย
19 สนใจแต่ปัจจุบัน
คุณเป็นเพอร์เฟ็คชั่นนิสต์หรือเปล่า คุณลงโทษตัวเองที่ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ดีเท่าที่คุณคิดว่าตัวเองควรทำได้หรือเปล่า ลองเปลี่ยนมาถามตัวเองว่า คุณกำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้ กับทุกอย่างในชีวิตของคุณหรือเปล่า แทนการเน้นไปที่ความสมบูรณ์แบบเต็มร้อย ตั้งเป้าหมายในการให้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ในตอนนั้น ถึงแม้คุณรู้ว่าวันอื่นอาจดีกว่านี้ได้ก็ตาม
20 เพิ่มเติมแต่สิ่งดีๆ
มองร่างกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณของคุณเหมือนบัญชีธนาคาร ที่ต้องมีการเดินบัญชีเสมอ ทุกวันที่คุณไม่เคลื่อนไหว กินอาหาร แย่ๆ หรือคิดแต่เรื่องลบๆ เท่ากับเป็นการถอนออกจากบัญชีนั้น แต่ทุกวันที่คุณกินอาหารดีๆ นอนพอ ดื่มน้ำให้พอเพียง และออกกำลังกาย ถือเป็นการฝากเพิ่ม เพราะฉะนั้นคุณรู้แล้วนะว่าควรจะเดินบัญชีนี้อย่างไร
Average Rating