กฎการดูแลผิว
0 0
Read Time:8 Minute, 12 Second

กฎการดูแลผิวบางอย่าง ที่คุณยึดถือมาตลอดชีวิต และคิดว่าดีอยู่แล้วนั้น จริงๆ แล้ว มีหลายอย่างเลยนะ ที่คุณอาจต้องคิดใหม่ ทำใหม่ได้แล้ว

เราส่วนใหญ่ทำตามกิจวัตรการดูแลผิวแบบเดิมมาตลอดชีวิต และเราคิดว่า มันเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ในการทำให้ใบหน้าเรากระจ่างใส และปราศจากริ้วรอย แต่เราอาจจะคิดผิดก็ได้

ทุกวันนี้ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผิวพรรณ ได้ออกมาตั้งคำถามกับการดูแลผิวพรรณหลายอย่าง ที่ผู้หญิงยึดถือกันมานาน และพบว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำให้ผิวของคุณดีขึ้นอย่างที่เชื่อกัน แต่อาจทำร้ายผิวของคุณก็เป็นได้ พร้อมที่จะรู้หรือยังว่า กฎการดูแลผิวอะไรที่คุณควรเลิกเชื่อ และเริ่มต้นเปลี่ยนเสียใหม่เดี๋ยวนี้เลย

กฎการดูแลผิวอะไรบ้างที่ควรต้องอัพเดท

1 คุณควรล้างหน้าวันละสองครั้ง

กฎการดูแลผิว

ในขณะที่เราไม่ได้พูดว่า คุณควรละทิ้งเรื่องสุขอนามัยโดยสิ้นเชิง แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็บอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องล้างหน้าวันละ 2 ครั้งเสมอไป ถ้าคุณไม่ได้แต่งหน้า หรือไม่ได้อยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยมลภาวะ คุณก็สามารถที่จะอยู่ได้โดยล้างหน้าแค่เพียงวันละครั้ง

ที่จริงแล้ว การล้างหน้าน้อยกว่า เป็นเรื่องดีกว่าสำหรับคุณด้วย เพราะการทำความสะอาดผิว โดยใช้ผลิตภัณฑ์แรงๆ สามารถทำลายน้ำมันตามธรรมชาติในผิว และทำให้ผิวแห้ง และเปราะบางต่อการโจมตีของแบคทีเรีย การล้างหน้าบ่อยเกินไป คุณอาจลงเอยด้วยการมีแบคทีเรียที่เข้าไปอยู่ในรูขุมขนของคุณ จนเป็นสิวขึ้นมาก็ได้

เปลี่ยนยังไงดี : เราไม่ได้บอกว่า คุณควรจะเลิกล้างหน้านะ แต่เวลาสำคัญที่สุด ที่คุณควรล้างหน้าก็คือ ตอนเย็น ซึ่งคุณพบเจอกับสิ่งสกปรกมาตลอดทั้งวัน และยังอาจมีเครื่องสำอางตกค้างอยู่ ถ้าคุณแต่งหน้า ซึ่งสิ่งสกปรกและคราบเครื่องสำอางเหล่านี้ เป็นสิ่งที่คุณต้องกำจัดมันออกไป แต่การล้างหน้าไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อผิว พยายามใช้เคลนเซอร์ที่อ่อนโยนเสมอ และอย่าขัดถูผิวมากเกินไป และเมื่อคุณเข้านอน พร้อมกับผิวหน้าที่สะอาดหมดจดแล้ว คุณก็แทบไม่จำเป็นต้องล้างหน้าในตอนเช้า แค่ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าก็พอ หรืออาจข้ามไปใช้โทนเนอร์เช็ดผิวเลยก็ได้

2 การขัดผิวบ่อยๆ เป็นเรื่องจำเป็น

กฎการดูแลผิว

เรามักคิดกันว่า เซลล์ผิวที่ตายแล้วเป็นศัตรูของเรา แต่มันก็มีหน้าที่ของมันนะ มันปกป้องผิวของคุณจากสภาพแวดล้อม จากมลภาวะ และแบคทีเรีย แทนที่จะขัดมันออกไปทุกวัน คุณควรขัดผิวแค่สัปดาห์ละครั้ง หรือสองสัปดาห์ครั้งก็พอ และมันไม่ใช่แค่ว่า คุณขัดเซลล์ผิวบ่อยแค่ไหน แต่ประเภทของผลิตภัณฑ์ขัดผิวที่คุณใช้ ก็สำคัญไม่แพ้กัน ผลิตภัณฑ์ขัดผิวแบบมีเม็ดขัดอย่างเช่น เมล็ดแอปริคอต หรือเปลือกวอลนัต มีเหลี่ยมมุมที่คมเกินไป จนอาจทำร้ายผิวของคุณได้

เปลี่ยนยังไงดี : ลองใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว ที่มีส่วนผสมของสารเคมี อย่างกรดอัลฟ่าไฮดร็อกซี่ กรดไกลโคลิก หรือกรดแลคติก ที่จะอ่อนโยนต่อผิวกว่า หรือเลือกเม็ดขัดผิวที่ทำจากข้าว หรือสารสังเคราะห์ที่มีอนุภาคเล็กละเอียด และอ่อนโยนกว่า โดยมองหาผลิตภัณฑ์ขัดผิวที่บอกว่า อ่อนโยนพอที่จะใช้ได้ทุกวันนั่นแหละ แต่อย่าใช้ทุกวัน ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวจากสารเคมี อาจทำให้ผิวคุณร็สึกคันยิบๆ เล็กน้อยได้ แต่ถ้ามันทำให้ผิวคุณระคายเคือง หรือเป็นผื่นแดง ก็แสดงว่ามันแรงเกินไป และคุณควรหาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ โดยหาชนิดที่มีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ที่ต่ำลง

3 เรตินเอ หรือเรตินอลใช้สำหรับริ้วรอยเท่านั้น

กฎการดูแลผิว

ความจริงน่ะหรือ? ส่วนผสมตัวนี้ใช้ได้สำหรับทุกคนเลยล่ะ อย่างน้อยก็สำหรับคนที่ต้องการความช่วยเหลือในเรื่องสิว ริ้วรอย ขนาดรูขุมขน หรือเรื่องสีผิว ซึ่งนั่นก็ครอบคลุมเกือบจะทุกคนแล้วใช่มั้ยล่ะ? เรตินอลเป็นส่วนผสมที่ใช้กันมาเกือบ 50 ปีแล้ว และมีงานวิจัยมากมาย ที่พิสูจน์ถึงความปลอดภัยของมัน ฉะนั้น แทนที่จะเปลี่ยนไปใช้ส่วนผสมใหม่ๆ ชนิดโน้นชนิดนี้ไปเรื่อยๆ ลองใช้เรตินอล เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ของผิวพรรณดีกว่า ซึ่งเดี๋ยวนี้ เราสามารถหาเรตินอลได้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในทุกระดับราคา ที่เหมาะกับงบประมาณของเรา

เปลี่ยนยังไงดี : ถึงเรตินอลปลอดภัยต่อผิว แต่มันก็ทำให้ผิวไวต่อแสงแดดเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อเปลี่ยนมาใช้เรตินอล อย่าลืมทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 หรือสูงกว่าเป็นประจำ

4 ผิวที่เป็นสิวหรือผิวมันควรใช้ผลิตภัณฑ์แบบออยล์ฟรี

กฎการดูแลผิว

กฎข้อนี้มีข้อผิดอยู่หลายเรื่องเลย อย่างแรกก็คือ คำว่า “ออยล์ฟรี” ไม่ใช่ศัพท์ทางการ แต่เป็นคำที่บรรดาแบรนด์ต่างๆ ใช้กับแทบทุกผลิตภัณฑ์ มันจึงไม่ได้การันตีเสมอไปว่าคุณจะไม่เกิดสิว ข้อสองก็คือ แม้แต่ผิวที่มันที่สุดก็ต้องการความชุ่มชื้น การงดใช้น้ำมันโดยสิ้นเชิงอาจทำให้ผิวแห้ง จนผิวกลับผลิตน้ำมันมากขึ้น

และท้ายสุดก็คือ ผิวทุกชนิดต้องการน้ำมัน ตราบเท่าที่เป็นน้ำมันที่ถูกประเภท ที่ผ่านมาเรามักถูกบอกให้หลีกเลี่ยงน้ำมัน แต่มันมีน้ำมันบางอย่างเช่นน้ำมันอาร์แกนและน้ำมันมะพร้าว ที่เข้ากับผิวได้ดี จึงดูดซึมได้ดี และได้ผลแม้กระทั่งการป้องกันสิว เพราะน้ำมันเหล่านี้มีคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย และสามารถช่วยทำให้ผิวสมดุลได้

เปลี่ยนยังไงดี : ถึงผิวคุณจะเป็นมันมาก คุณก็ยังต้องการความชุ่มชื่น แค่เลือกมอยสเจอไรเซอร์แบบเนื้อบางเบา และไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินไปกับผลิตภัณฑ์แบบออยล์ฟรีแต่อย่างใด

5 คุณควรใช้เบนซอยล์เพอร์ออกไซด์หรือกรดซาลิไซลิกเพื่อทำให้สิวแห้ง

กฎการดูแลผิว

ถ้าคุณมีปัญหาสิว กิจวัตรการดูแลผิวของคุณก็อาจมีการใช้เบนเซอยล์เพอร์ออกไซด์ หรือผลิตภัณฑ์แต้มสิวที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก เพื่อจัดการกับสิวทุกเม็ดที่โผล่ขึ้นมา แต่มันมีเหตุผลบางอย่างนะที่ควรคิดเรื่องนี้เสียใหม่ นั่นก็คือส่วนผสมทั้งสองอย่างนี้ค่อนข้างรุนแรง ทำให้ผิวระคายเคือง และทำให้ผิวแห้ง ฉะนั้น ในขณะที่มันอาจฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และกำจัดสิวไปได้ในท้ายที่สุด แต่มันก็อาจทำให้ผิวของคุณแห้งและลอกได้

เปลี่ยนยังไงดี : ใช้ผลิตภัณฑ์อื่นที่อ่อนโยนกว่า ซึ่งมีส่วนผสมจากธรรมชาติอย่างอื่นที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ เช่น วิลโลว์ บาร์ค หรือส่วนผสมจากดิน ซึ่งจะดึงเอาความสกปรกออกไป และทำให้สิวแห้งได้เช่นกัน แต่ข้อที่ดีกว่าก็คือ มันไม่ทำให้ผิวแห้งและลอก

6 คุณต้องใช้ผลิตภัณฑ์แยกกันระหว่างผิวหน้ากับดวงตา

กฎการดูแลผิว

ผิวรอบดวงตาเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดของใบหน้า เพราะฉะนั้นก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับมันไม่ใช่หรือ แต่จริงๆ แล้วนะ ในกรณีส่วนใหญ่ไม่จำเป็นเลยล่ะ ถ้าอายครีมที่คุณอยากใช้มีส่วนผสมเฉพาะที่คุณต้องการสำหรับรอบดวงตาของคุณ เช่น ส่วนผสมที่ช่วยลดอาการบวม หรือลดรอยดำ ก็ใช้ไปก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว คุณไม่ต้องการอายครีมโดยเฉพาะหรอก ในเมื่อครีมและซีรั่มที่ใช้อยู่ดีพอสำหรับการดูแลผิวหน้า ทำไมมันถึงจะไม่ดีพอสำหรับผิวรอบดวงตาล่ะ? และอายครีมส่วนใหญ่แล้วก็มีส่วนผสมที่แทบจะไม่แตกต่างกับมอยสเจอไรเซอร์ที่คุณใช้กับผิวหน้านั่นแหละ เพียงแต่มาในแพคเกจจิ้งใหม่นั้นเอง

เปลี่ยนยังไงดี : ขณะที่ทามอยสเจอไรเซอร์หรือซีรั่มลงบนผิว ก็ทาที่รอบดวงตาไปด้วยเลย คุณจะประหยัดทั้งเงินทั้งเวลาเลยล่ะ

7 “ธรรมชาติ” หมายความว่ามันอ่อนโยนกว่า

กฎการดูแลผิว

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติเป็นเรื่องดี แต่ธรรมชาติก็สามารถทำความเสียหายให้แก่ผิวได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น น้ำมันทีทรี ถ้าหากใช้แต่น้อยสามารถช่วยจัดการกับสิวได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ถ้าคุณทามากเกินไป ผิวของคุณก็จะเกิดอาการแดง แห้ง และลอกได้แบบเดียวกับการใช้เบนซอยล์เพอร์ออกไซด์เป็นประจำเลย 

เปลี่ยนยังไงดี : จำไว้ให้ดีว่าไม่ว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะเป็นแบบออร์แกนิกส์ หรือทำในห้องแล็บ การใช้อย่างถูกต้อง และทำตามคำแนะนำในการใช้อย่างเคร่งครัด เป็นสิ่งสำคัญมากกว่า การใช้มากไม่ได้แปลว่าดีกว่าเสมอไป ในเรื่องของการดูแลผิวพรรณ

ผลิตภัณฑ์ความงามพวกนี้..ไม่ต้องใช้ก็ได้

กฎการดูแลผิว

มาสคาร่าแบบกันน้ำ ที่จริงแล้วมาสคาราแบบนี้ทำให้ขนตาเป็นก้อนได้ง่าย แถมยังกลายเป็นเกร็ดเกาะติดบนขนตาทำมห้ขนตาดูแห้งๆ แข็งๆ อีกด้วย

แป้งปกปิดสูง ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้มักเนื้อหนาหนัก และทำให้ผิวของคุณดูหนาเตอะและขาวโพลน แทนที่จะใช้แป้งปกปิดรอยสิวหรือรอยดำ ลองเปลี่ยนมาใช้คอนซีลเลอร์ฉพาะจุดที่ต้องการดีกว่า

ผลิตภัณฑ์แต่งผมที่มีส่วนผสมของเกลือ มันอาจทำให้ผมดูหยิกยุ่งเหมือนเพิ่งกลับจากชายหาด แต่เกลือพวกนั้นจะดูดซับความชุ่มชื้นออกจากผมและทำให้ผมแห้ง เพราะฉะนั้นถ้ายังอยากใช้อยู่ ก็อย่าใช้เป็นประจำก็แล้วกัน

แป้งข้าวโพด มันอาจไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ความงามโดยตรง แต่เป็นส่วนผสมที่ใช้ในดรายแชมพู ซึ่งมักทิ้งคราบขาวบนเส้นผม ลองเปลี่ยนมามองหาส่วนผสมอย่างเช่นแป้งข้าวเจ้าและซิลิก้า ที่ช่วยดูดซับน้ำมันได้เร็วกว่า และไม่ทิ้งคราบขาวไว้มากนัก

ซัลเฟต มันสลายน้ำมันและคราบสกปรกได้เร็ว จึงเป็นเหตุผลที่ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาบน้ำและแชมพู แต่มันไม่ค่อยดีต่อเส้นผมและผิว เพราะมันทำให้ผมแห้ง และสีผมซีดจางเร็ว แชมพูแบบไม่มีซัลเฟตจะแพงกว่า ฟองก็น้อยกว่า ทำให้คนไม่ค่อยเคยชินในการใช้ แต่ประโยชน์ของมันนั้นคุ้มค่ากับราคามากกว่า

Happy
Happy
0 %
Sad
Sad
0 %
Excited
Excited
0 %
Sleepy
Sleepy
0 %
Angry
Angry
0 %
Surprise
Surprise
0 %

Average Rating

5 Star
0%
4 Star
0%
3 Star
0%
2 Star
0%
1 Star
0%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *